31.3.53

อลงกรณ์ พลบุตร ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนาม


พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนา
ระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ


วันที่ 23 มีนาคม 2553 16:57 น.
ที่มา กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง


นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนาย อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ ระหว่างกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานประกันสังคม ณ ห้อง 30410 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553

รมช.อลงกรณ์ไม่หวั่นนปช.

อลงกรณ์ไม่หวั่นนปช.เดินทางเปิดงานที่นครปฐม

รมช.พาณิชย์ อลงกรณ์ พลบุตร ไม่หวั่นสถานการณ์ นปช.เดินทางเปิดงานประจำปีวัดละมุด จังหวัดนครปฐม พร้อมไหว้พระปิดทองขอพร ให้แคล้วคลาดเดินทางปลอดภัย


เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้(13 มี.ค.53) ที่วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานประจำปีวัดละมุด โดยมีนายภูมิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายอำเภอนครชัยศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดละมุด และผู้นำท้องถิ่น พร้อมทั้งชาวบ้านจำนวนกว่า 100 คนเข้ามาร่วมในพิธี ทั้งนี้ พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้จัดกำลังปราบปรามการจลาจลและเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 200 นายเฝ้าอารักขาเพื่อความปลอดภัย ทั่วบริเวณงาน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การเดินทางมาที่จังหวัดนครปฐมก็เพื่อมาเปิดงานประจำปีของวัดละมุด ซึ่งตนขอให้ทุกคนมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ไม่แยกให้เกิดความแตกแยก ซึ่งในวันนี้นอกจากเป็นประธานเปิดงานแล้วก็ยังได้ไหว้พระปิดทองเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองด้วย


ผู้สื่อข่าว รายงานว่า หลังจากเปิดงานประจำปีแล้ว นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ก็ได้มอบถ้วยรางวัลให้กับเจ้าอาวาสวัดละมุดเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ชนะเลิศการแข่งขันตระกร้อ ซึ่งพร้อมกันนี้เจ้าอาวาสวัดละมุดก็ได้มอบภาพพระพุทธรูปศักดิ์ของวัดให้ไปบูชาเป็นที่ระลึก ก่อนที่นายอลงกรณ์จะเดินทางกลับไป โดยที่ไม่มีความหวั่นไหวต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะมีความมั่นใจว่าเดินทางปลอดภัยท่ามกลางการดูแลอารักขาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากที่คอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา

23.3.53

อลงกรณ์เปิดงานซูชิและปลาดิบสไตล์โมเดิร์น




Rainbow Roll Sushi Grand Opening Party
ซูชิและปลาดิบ สไตล์โมเดิร์นโรล
ที่สยามแอ็ทสยามสยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ลแอนด์สปา

โรงแรมสุดฮิปใจกลางกรุง เปิดตัว Rainbow Roll Sushi เอาใจคนชอบรับประทานซูชิและปลาดิบ โดยมี ฯพณฯ พลตรี ดร.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
พร้อมด้วย นาย อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสัญญา
สถิรบุตร ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
โดยมี พรพินิจ พรประภา ประธานกรรมการบริหาร สยามแอ็ทสยาม ให้การต้อนรับ ร่วมด้วย
แขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ

ซึ่ง Rainbow Roll Sushi เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทซูชิและปลาดิบในสไตล์โมเดิร์นโรล ชื่อดังจากญี่ปุ่นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เปิดให้บริการแล้ว ณ ชั้น จี และ
สกายบาร์ชั้น 25 สยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ลแอนด์สปา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารการตลาด
ณัฐธยาน์ เวชสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
โทร. 0-2217-3000 ต่อ 3006
เปรมจิตร เคียนงาม ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
โทร. 0-2217-3000 ต่อ 3010

สยามแอ๊ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ล แอนด์ สปา ( ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ)

ที่มา สยามแอ๊ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ล แอนด์ สปา

อลงกรณ์ พลบุตรเปิดงาน “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อความเข้มแข็งของไทย”



กรมทรัพย์สินทางปัญญา แถลงข่าว
“เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อความเข้มแข็งของไทย”
ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร
สถานที่จัดกิจกรรม โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก
ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนทุกท่านร่วมงานแถลงข่าว “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อความเข้มแข็งของไทย”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
เนื่องในโอกาสที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลาง
ได้เปิดทำการครบรอบ 12 ปี ในวันอังคารที่ 23 มีนาคม 2553 เวลา 09.30 น.
ณ โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ พัดชา ทองไซร้ (ซอ)
ประชาสัมพันธ์ บริษัท ซี.เอ. อินโฟ มีเดีย จำกัด 0-2574-5027-8
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ฯ กรมทรัพย์สินทางปัญญา
ติดต่อ คุณสุ ,คุณโต้ย โทรศัพท์ 0-2547- 4696 ต่อ 1105

22.3.53

อลงกรณ์ พลบุตร เป็นประธานเปิดการสัมมนาเวที





เปิดสัมมนาเวทีสาธารณะฯพณฯ อลงกรณ์ พลบุตร

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเวทีสาธารณะ เรื่อง “การเพิ่มโอกาสทางการค้าของไทยสู่ตลาดโลกจาก FTA อาเซียนกับคู่เจรจา: จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ BIMSTEC FTA และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าไทย-ฮ่องกง”

จัดโดย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ณ ห้องควีนส์ปาร์ค 1- 2
โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22 เมื่อเร็ว ๆ นี้
ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร
จรรยา หาญสุวณิช ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์
ศุภรานันทน์ พันธุ์ชูจิตร ผู้จัดการฝ่ายสังคม
วันชัย จารุพักติ ประชาสัมพันธ์อาวุโส
โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22
โทร. 0-2261-9300 ต่อ 5938
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-261-9300 ต่อ 5938 วันชัย


ที่มา โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค

อลงกรณ์ไปสัมมนาใหญ่ “โอกาสและการเตรียมความพร้อมของไทยจากอาเซียน

อลงกรณ์ไปสัมมนาใหญ่ “โอกาสและการเตรียมความพร้อมของไทยจากอาเซียน สู่ AEC – ASEAN Economic Community (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)”
ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กำหนดจัดงานสัมมนาในหัวข้อ “โอกาสและการเตรียมความพร้อมของไทยจากอาเซียน สู่ AEC – ASEAN Economic Community (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)” ในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 ตั้งแต่เวลา 08.30-15.15 น. ณ ห้องเพลนารี่ฮอล ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงานนี้ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ
อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา และกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Creative Economy กับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทย” พร้อมรับฟังเสวนาพิเศษในหัวข้อ “ตลาดการค้าชายแดน สู่ระบบการค้าภายใต้ความตกลงอาเซียน สู่AEC : กรณีการค้าชายแดนไทย – ลาว (จังหวัดมุกดาหาร) การค้าชายแดนไทย – กัมพูชา(ตลาดโรงเกลือ จังสระแก้ว) การค้าชายแดนไทยพม่า –พม่า (จังหวัดตาก) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs” จากองค์กรภาคเ อกชนชั้นนำหลายหน่วยงาน และพลาดไม่ได้กับการติดตามรับฟังแนวทางดำเนินการของธุรกิจภาค SMEs ของการค้าชายแดนไทยพร้อมฟังอภิปรายเรื่อง “การเปิดตลาดอาเซียน : How to go ASEAN Market” จากผู้ทรงคุณวุฒิของกรมส่งเสริมการส่งออก และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ รับจำนวนจำกัด สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่คุณวรรณา สุขแก้ว หมายเลขโทรศัพท์ 0-2248-7967-8 หรือ โทรสารหมายเลข 0-2248-7969

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและยืนยันการเข้าร่วมงานได้ที่ พิภพ ฆ้องวง (ท๊อป)
บริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนาม กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์)
โทร: 0-2248-7967-8 ต่อ 119
e-mail : c_mastermind@hotmail.com/w.kham@hotmail.com

ที่มา มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์

พิธีสถาปนาสภาธุรกิจไทย – พม่า



กระทรวงอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอเรียนเชิญท่านร่วมงาน
พิธีสถาปนาสภาธุรกิจไทย – พม่า (Thai – Myanmar Business Council)

กระทรวงอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอเรียนเชิญท่านร่วมงาน พิธีสถาปนาสภาธุรกิจไทย – พม่า (Thai – Myanmar Business Council) ในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 15.00 – 17.00 น. ณ Boardroom Lobby โซน ซี ชั้น 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยมีนาย อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานในพิธีสถาปนา พร้อมด้วยนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ เนื่องจากพม่าเป็นประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนและเป็นประเทศในกลุ่มกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS / ACMECS ที่มีศักยภาพในด้านทรัพยากร แรงงาน วัตถุดิบและสามารถรองรับต่อธุรกิจไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาการค้าระหว่างไทยและพม่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 12 – 18 % ต่อปี แต่ยังขาดกลไกเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างกัน จึงได้จัดตั้งสภาธุรกิจไทย - พม่า เพื่อให้เป็นกลไกในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาคเอกชนพม่ารองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกันต่อไป

กำหนดการสถาปนาสภาธุรกิจไทย – พม่า

15.00 – 15.30 น. พิธีสถาปนาสภาธุรกิจไทย - พม่า
15.30 – 17.00 น. - กล่าวต้อนรับ โดย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(นายธนิต โสรัตน์)


- การนำเสนอวีดีทัศน์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย – พม่า
- กล่าวแสดงความยินดี โดย

1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร)

2. เอกอัครราชทูตไทยประจำสหภาพพม่า

3. เอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย


- การเฉลิมฉลองพิธีสถาปนาสภาธุรกิจไทย - พม่า
- การเปิดตัวคณะกรรมการบริหารสภาธุรกิจไทย - พม่า
- ประธานสภาธุรกิจไทย – พม่า กล่าวนโยบายการบริหารงาน
ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร

http://www.thaipr.net

"อลงกรณ์" ฮึ่มเช็กบิลนอมินีจีจีเอฟ


"อลงกรณ์" ฮึ่มเช็กบิลนอมินีจีจีเอฟ


อลงกรณ์ พลบุตร เช็คบิลนอมินีจีจีเอฟว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ฐานไม่จัดส่งรายละเอียด และมาให้ถ้อยคำตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด...

นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มี.ค.นี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะยื่นฟ้องร้องต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กับบริษัท จีจีเอฟ ไทยแลนด์ จำกัด และกรรมการบริษัทอีก 1 ราย เพราะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ฐานไม่จัดส่งรายละเอียด และมาให้ถ้อยคำตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ชี้มูลว่า บริษัทดังกล่าวมีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนตามที่ดีเอสไอชี้มูล

โดยกรณีไม่ส่งรายละเอียดและไม่มาให้ถ้อยคำตามนั้น จะมีความผิดโดยเปรียบเทียบปรับครั้งละ 5,000 บาทต่อคน และต่อบริษัท นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังต้องการให้ดำเนินการแบบเดียวกันกับคณะกรรมการอีก 7 คน หลังกรมได้ผ่อนปรนให้บริษัทจัดส่งรายละเอียดมาให้กรมพิจารณาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งล่าสุดต้องส่งรายละเอียดให้พิจารณาภายในวันที่ 22 มี.ค.นี้ "ได้เร่งรัดให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งตรวจสอบการเป็นนอมินีของจีจีเอฟและนำเสนอผลให้ผมวินิจฉัยก่อนที่กรมจะดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่าเป็นนอมินีก็จะมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000-1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยให้เวลาอีก 10 วัน หากยังไม่สามารถสรุปผลได้จะนำผลสรุปของดีเอสไอที่ชี้ว่าเป็นนอมินีมาดำเนินการตามกฎหมายกับจีจีเอฟทันที"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท จีจีเอฟ ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าไซโลเก็บรักษาข้าวขององค์การคลังสินค้า (อคส.) นั้น ได้ถูกดีเอสไอชี้มูลว่า เป็นนอมินีของคนต่างด้าว ประกอบธุรกิจสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจต้องห้ามตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จนส่งผลให้นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ สั่งการให้ปลดคณะกรรมการ อคส.ชุดเก่าออกทั้งหมดและให้ยกเลิกสัญญากับจีจีเอฟ

ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร

ข่าวอลงกรณ์ พลบุตร

พาณิชย์"วอนจีนแก้ปัญหาโขงแห้ง หวั่นคมนาคมทางน้ำสะดุด

ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร
“อลงกรณ์” วอนจีนแก้ปัญหาน้ำโขงแห้ง หวั่นทำคมนาคมทางน้ำสะดุด พร้อมถกเชื่อมระบบโลจิ ติกส์ผ่านระบบรางและรถไฟความเร็วสูง เพิ่มโอกาสขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว...

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือกับ นายเกา เหวินควน ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยไทยได้แสดงความเป็นห่วงถึงปัญหาการคมนาคมทางน้ำ ผ่านเส้นทางแม่น้ำโขง ซึ่งมีปริมาณน้ำลดลงเป็นอย่างมาก โดยขอให้จีนช่วยเหลือ และลดผลกระทบสำหรับผู้ที่อยู่ด้านล่างเขื่อน เช่น ไทย ซึ่งจีนแจ้งว่าปัจจุบันปริมาณน้ำจากแหล่งต้นน้ำลดลง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลงเช่นกัน แต่ก็พร้อมจะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป และขอให้ทางการจีนนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ให้ประชาชนไทยได้ทราบ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่าง 2 ประเทศถึงปัญหาแม่น้ำโขงแห้ง

นอกจากนี้ อลงกรณ์ พลบุตรยังได้หารือถึงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เส้นทางการเชื่อมโยงไทย–จีน และต่อไปยังอาเซียน โดยเฉพาะระบบราง และระบบรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อไทย–จีน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มช่องทางการคมนาคม และการขนส่งสินค้าระหว่างกัน รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าอาเซียน-จีนให้รวดเร็ว และประหยัดยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งจีนให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะมีแผนพัฒนาโลจิสติกส์ลงมาทางตอนใต้ของจีนอยู่แล้ว เพื่อเชื่อมต่อกับอาเซียน โดยจะผลักดันการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมต่อไป


ที่มา http://www.thairath.co.th/

อลงกรณ์สั่งทูตไทยเร่งถกปัญหาอียูส่งออกน้ำตาล



สั่งทูตไทยเร่งถกแก้ปัญหาอียูส่งออกน้ำตาล


"อลงกรณ์” สั่งทูตไทยประจำองค์การการค้าโลกถกรอบนอกกับอียู แก้ปัญหาส่งออกน้ำตาล ชง "มารค์" ลอบบี้เบลเยียม แลกเปลี่ยนกับการที่เบลเยียมขอให้ไทยสนับสนุนเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลก..

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) ไปหารือนอกรอบกับทูตสหภาพยุโรป (EU) ประจำดับเบิลยูทีโอ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกรณีอียูส่งออกน้ำตาลทรายปี 52 สูงถึง 1.8 ล้านตัน มากกว่าปริมาณที่ผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลกที่ 1.2 ล้านตันต่อปี ถึง 600,000 ตัน เพราะเกรงว่าการส่งออกที่เกินโควตาจะฉุดให้ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกลดลง

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีฟ้องร้อง ขอเจรจานอกรอบก่อน หากผลการหารืออียูยืนยันข้อเท็จจริงว่า มีการให้เงินสนับสนุนการส่งออกน้ำตาลในส่วนที่เกินปริมาณส่งออกที่ผูกพันกับดับเบิลยูทีโอ ไทย บราซิล และออสเตรเลีย จะหารืออีกครั้งเพื่อทำตามขั้นตอน ให้อียูชดเชยความเสียหายกรณีทำผิดความตกลง หรืออาจพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า
ขณะเดียวกัน ขอให้นายกรัฐมนตรีไทย เจรจากับประธานกลุ่มอียูเพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น แลกเปลี่ยนกับการที่เบลเยียมขอให้ไทยสนับสนุนเบลเยียม-เนเธอร์แลนด์ เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2018

เสรีลงทุนอาเซียนยืดเยื้อ

เสรีลงทุนอาเซียนยืดเยื้อ เหตุสมาชิกก๊ักภาคเกษตร

อลงกรณ์ พลบุตร เผยเปิดเสรีอาเซียนป่วน เหตุสมาชิกปิดกั้นภาคเกษตร เตรียมบินถก รมต.เศรษฐกิจอาเซียน พร้อมประกาศ ATICA หลังเคลียร์ข้าวกับฟิลิปปินส์ลงตัว..

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 27-28 ก.พ.นี้ ตนจะเป็นหัวหน้าคณะของไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 16 ที่มาเลเซีย โดยประเด็นที่จะหารือ คือ เจรจาความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน (ACIA) ที่หลายประเทศสมาชิกเสนอบัญชีสงวน ในการเปิดเสรีรวมแล้วกว่า 130 สาขา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคการเกษตร เพราะเป็นภาคที่อ่อนไหวสำหรับประเทศอาเซียน และยังไม่มีความพร้อมให้ประเทศอื่นเข้ามาลงทุน สำหรับประเทศไทยได้เสนอบัญชีสงวนเพิ่มเติมไปยังสมาชิกอาเซียนแล้ว ได้แก่ การเปิดเสรีการลงทุนในกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำป่าไม้จากป่าปลูก และการเพาะหรือปรับปรุงพันธุ์พืช จากเดิมที่ไทยกำหนดให้ทั้ง 3 สาขาต้องเปิดเสรีตามกรอบการลงทุนอาเซียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 แต่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ได้มีมติให้ชะลอการเปิดเสรีออกไปก่อน และ ครม.ก็ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว

“บัญชีสงวนทั้ง 3 สาขาของไทย อาเซียนอื่นๆ ให้การยอมรับแล้ว แต่ของประเทศอื่น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการยอมรับ จึงทำให้การเปิดเสรีการลงทุนอาเซียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายเดิมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาเซียนต้องหาข้อยุติ และต้องให้พร้อมเปิดเสรีภายในวันที่ 1 ส.ค. 53” นายอลงกรณ์ กล่าว


อลงกรณ์ พลบุตร ว่าทั้งนี้ ประเทศไทยจะประกาศความพร้อมที่จะลงนามในสัตยาบันความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) จากที่ก่อนหน้านี้ ไทยไม่ยอมให้สัตยาบัน เพราะไม่สามารถเจรจากับฟิลิปปินส์ ให้ชดเชยความเสียหายกับไทย กรณีชะลอการลดภาษีนำเข้าข้าวภายในกรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) แต่หลังจากเจรจาจนได้ข้อยุติ ไทยจึงยอมลงนาม โดยฟิลิปปินส์ยอมเปิดตลาดข้าวให้ 367,000 ตัน ภาษี 0% ในจำนวนนี้เป็นข้าวคุณภาพดี 50,000 ตัน ซึ่งมีทั้งข้าวขาว 5% และ 100% หลังจากนี้ จะเสนอให้ ครม. และสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในส่วนของข้อตกลงข้าวกับฟิลิปปินส์ เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา ตามมาตรา 190 รัฐธรรมนูญปี 50.

ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร

19.3.53

ท่านอลงกรณ์ พลบุตร


ข่าว อลงกรณ์ พลบุตร ต่อ

อย่างไรก็ดี ผู้แทนภาคเอกชน เช่น International Intellectual Property Alliance (IIPA) และ Business Software Alliance (BSA) ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผ่านการลักลอบดาวน์โหลดไฟล์ทางอินเทอร์เน็ต ที่มีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยความตื่นตัวของประชาชน และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider – ISP) ในการป้องกันและปราบปราม


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า ไทยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง และมองว่าเป็นแนวทางที่สำคัญที่จะช่วยให้อัตราการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยลดลง
โดยในขณะนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดจ้างสถานบันคีนันแห่งเอเชีย ทำหลักสูตรทรัพย์สินทางปัญญาในระดับประถมและมัธยม และได้เริ่มทดลองสอนในโรงเรียนนำร่อง 40 แห่ง และจะขยายเป็นทั่วประเทศภายในปีการศึกษา 2553 เอกชนสหรัฐฯ ยังสนใจสอบถามการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทยเรื่องมาบตาพุด การเปิดเสรีทางการค้าของอาเซียน ที่แม้ภาษีศุลกากรจะลดลง แต่ยังมีการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีอยู่ ซึ่งเป็นอุปสรรคทางการค้า รวมถึงปัญหาเรื่องวิธีการประเมินศุลกากรของไทย
ซึ่งนายอลงกรณ์ฯ แจ้งว่า ขณะนี้รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศของไทย เพื่อให้การประกอบธุรกิจของต่างชาติในประเทศไทย ได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามามาประกอบกิจการ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ไทย ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ฯ มีแผนจะเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส ในวันที่ 2 – 3 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อพบหารือกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และแอนิเมชั่นของสหรัฐฯ เช่น Sony Pictures Walt Disney’s Pictures Luma Studio เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์และแอนิเมชั่นของไทยในอนาคต


http://www.ipthailand.org/

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์



อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แจ้งสหรัฐฯ ว่าขณะนี้ไทยดำเนินนโยบายให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรค์ ซึ่งได้รับการชื่นชมและยอมรับจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) และอังค์ถัด (UNCTAD) ว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และขยายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงมีแผนที่จะจัดการประชุม World Creative Economic Forum ขึ้น ในเดือนธันวาคม 2553 ที่ประเทศไทย โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์การระหว่างประเทศ เช่น WIPO UNCTAD และผู้สนใจทั่วโลก มาประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีการประกาศพันธสัญญาของรัฐบาล 12 ข้อ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายสัดส่วนของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน GDP ร้อยละ 12 เป็น ร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2555 โดยมีแนวนโยบายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอาเซียนในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ไทยได้กำหนดให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติเป็นครั้งแรก มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการจัดทำยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และแผนเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขึ้น เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการมีความคืบหน้าหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือตำราเรียนเพื่อการส่งออก การแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในองค์กรธุรกิจ และการจัดกิจกรรมรณรงค์ให้คนใช้ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันนโยบาย e-commerce และได้ส่งผลให้พบสินค้าละเมิดน้อยลงไทยยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน เช่น การยกร่างกฎหมายป้องกันและปราบปรามการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ แก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าเพื่อเอาผิดเจ้าของสถานที่ขาย เก็บ และผลิตสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การแก้ไขกฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต และผลักดันให้การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการค้าขนาดใหญ่เป็นความผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงหวังว่าความคืบหน้าที่ผ่านมา จะช่วยให้สหรัฐฯ ถอดไทยจากบัญชี PWL ในการประเมินในเดือนเมษายน 2553

“อลงกรณ์” ปลื้ม สหรัฐฯ ชมนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยช่วยเศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน

“อลงกรณ์” ปลื้ม สหรัฐฯ ชมนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยช่วยเศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเดินทางเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ได้พบกับนาย Ron Kirk ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative – USTR) และภาคเอกชนสหรัฐฯ เช่น สมาคมทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ (International Intellectual Property Alliance – IIPA) สมาคมซอฟต์แวร์ธุรกิจ (Business Software Alliance – BSA) หอการค้าสหรัฐฯ (American Chamber of Commerce) และ สภาธุกิจสหรัฐฯ – อาเซียน (US-ASEAN Business Council) เพื่อหารือเรื่องการค้า และทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การหารือข้อสรุปการเจรจา WTO รอบโดฮา ความคืบหน้าด้านสถานการณ์ทรัพย์สินทางปัญญาและนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย เรียกร้องให้สหรัฐฯ ต่อสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) กับสินค้าเครื่องประดับเงินของไทย คืน C-Bond ที่สหรัฐฯ เก็บกับสินค้ากุ้งส่งออกของไทย ยกเลิกการใช้มาตรการ Zeroing กับสินค้าถุงพลาสติก เป็นต้น


นาย Ron Kirk ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ได้รับความเสียหายจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั่วโลกหลายพันล้านเหรียญในแต่ละปี โดยนาย Kirk เห็นว่าการริเริ่มใหม่ๆ ของรัฐบาลไทย เช่น การยกระดับทรัพย์สินทางปัญญาเป็นนโยบายแห่งชาติ การเปิดตัวนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังจะเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ในการนี้ นาย Kirk ได้แสดงความหวังว่าการดำเนินการต่างๆ ของไทยจะประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดอันดับประเทศคู่ค้าตามกฎหมายการค้ามาตรา 301 พิเศษ และเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา

อลงกรณ์เจรจาการค้าระหว่างประเทศ

เจรจาการค้าระหว่างประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมถ่ายภาพกับคณะรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO)

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมถ่ายภาพกับคณะรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเจรจารอบโดฮา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2553 ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

อลงกรณ์ พลบุตร ‘ลอจิสติกส์ คีย์แมน



อลงกรณ์ พลบุตร ‘ลอจิสติกส์ คีย์แมน’ แฟนคลับที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงลอจิสติกส์ คงจะยังไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก ที่สุนทรีย์ ขอยกย่องท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ “อลงกรณ์ พลบุตร” เป็น “ลอจิสติกส์ คีย์แมน” แต่หากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงลอจิสติกส์แล้วจะทราบดีว่า ในยุครัฐบาลนี้ ลอจิสติกส์ คีย์แมน สมควรที่จะยกให้ “องลงกรณ์” เนื่องจากจะมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับลอจิสติกส์ ในฐานะที่เป็น ประธานคณะกรรมการลอจิสติกส์การค้าแล้ว นายอลงกรณ์ ยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีทางด้านลอจิสติกส์และรุกงานด้านนี้อย่างจริงจัง
จากสมญานาม “มือปราบเทปผีซีดีเถื่อน” สู่ “รมต.ลอจิสติกส์” ตัวจริงเสียงจริง ที่กำลังมาแรงชนิดฝั่งคมนาคมวิ่งไม่ทัน เพราะมัวแต่เข็นเอ็นจีวี 4,000 คัน จนลืมทำอย่างอื่น! หลังจากที่จับจุดได้ว่าในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ มัวแต่มานั่งจับปรับอย่างเดียวไม่รุ่งแน่ เผลอๆ ถูกดาถูกขู่อีกต่างหาก ในขณะที่งาน “ส่งออก” คือ พระเอกที่จะช่วยฟื้นวิกฤติเศรษฐกิจให้กับประเทศได้
ดังนั้นหากจับจุดได้ชื่อของ “อลงกรณ์” ก็จะปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน ขณะนี้ถึงกับเดินสายไปผูกสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ โดยชูนโยบายการจะจัดตั้ง “ศูนย์กระจายสินค้า” (Distribution Center : D/C) เป็นธงนำ โดยกำหนดจะทำให้ได้ใน 5 ภูมิภาค ได้แก่ สหภาพยุโรป(อียู) สหรัฐอเมริกา จีน ตะวันออกกลาง และรัสเซีย ซึ่งล่าสุดได้ร่วมกับสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยได้เดินทางไปสำรวจศักยภาพและความเป็นไปได้ในการใช้บริการศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ณ เมืองท่ารอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และในประเทศอียูอื่น เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าและเป็นโชว์รูมแสดงสินค้าสู่กลุ่มประเทศในอียู 26 ประเทศ ส่วนในแถบเอเชียนั้นจีนเป็นเป้าหมายแรก ซึ่งขณะนี้ได้สถานที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้าแล้ว คือ ที่คุนหมิง มณฑลยูนนาน เป็นศูนย์กระจายสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปของไทย เพื่อกระจายสินค้าไทยสู่มณฑลทางภาคใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนว่ากันว่าจะเปิดดำเนินการในปลายปีนี้ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่มดูไบเวิลด์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพื่อจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แม้แต่ภาคเอกชนก็เห็นด้วยกับนโยบายการจัดตั้ง “ศูนย์กระจายสินค้าไทย” นี้ เพราะเป็นการทำตลาดในเชิงลึก ซึ่งจะช่วยนำเงินตราเข้าประเทศได้อีกมาก โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ส่งผลให้ผู้นำเข้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยมีการนำเข้าสินค้าล็อตเล็กๆ แทนนำเข้าเป็นล็อตใหญ่ๆ เหมือนในอดีต เพื่อลดภาระด้านสต็อกสินค้า ดังนั้น หากผู้ส่งออกของไทยจะสามารถขายสินค้าได้เหมือนในอดีตจะต้องนำสินค้าไปเก็บสต็อกไว้ที่ปลายทางเพื่อให้บริการถึงที่ เพื่อตัดขั้นตอนการส่งมอบสินค้าให้สั้นลง ช่วยให้ลูกค้าสามารถรับสินค้าได้เร็วขึ้น นอกจากตลาดไกลแล้วในส่วนของตลาดประเทศเพื่อนบ้าน

“นายอลงกรณ์” ก็ยังรุกต่อเนื่อง ล่าสุดเดินทางไปเยือนประเทศพม่า พร้อมหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยมีเป้าหมายในการเจรจาครั้งนี้ในหลายประเด็น อาทิ ความร่วมมือด้านเส้นทางขนส่งสินค้าชายแดน การพัฒนาลอจิสติกส์ระหว่างไทยกับพม่า เช่น การสร้างถนนเชื่อมระหว่างจังหวัดกาญจนบุรีและทวาย การสร้างท่าเรือ การจัดประชุมคณะกรรมการการค้าร่วมไทย-พม่า (เจทีซี) ครั้งที่ 5 การยกเลิกประกาศห้ามการนำเข้า-ส่งออกสินค้า 92 รายการ พิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออก เป็นต้น นอกจากพม่าแล้วเชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะมีความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ตามมาด้วย จากผลงานในเบื้องต้น สุนทรีย์ จึงขอยกตำแหน่ง “ลอจิสติกส์ คีย์แมน” ให้ท่านรมช.พาณิชย์ “อลงกรณ์ พลบุตร” ค่ะ


ที่มา สยามธุรกิจ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thai Franchise & SME Expo 2010 ปีที่ 4 งานแสดงแฟรนไชส์ SME กาแฟ เครื่องดื่ม เบเกอรี่ และไอศครีม ภายใต้ concept “Three in One” นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thai Franchise & SME Expo 2010 ปีที่ 4 งานแสดงแฟรนไชส์ SME กาแฟ เครื่องดื่ม เบเกอรี่ และไอศครีม ภายใต้ concept “Three in One” โดยมี คุณกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จัดงาน ให้การต้อนรับที่ MCC Hall ชั้น 4 เดอะมอลล์ บางกะปิ โดยงานมีระหว่างวันที่ 18-21 ก.พ. 2553 บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด เปิดศักราชต้อนรับปีเสือ จัด 3 งานแสดงยักษ์ แฟรนไชส์ กาแฟ เบเกอรี่และไอศครีม เต็มพื้นที่แสดง ชูกลยุทธ์ลดราคาสูงถึง 30% จัดกิจกรรมเนื้อหาเข้มข้นตลอด 4 วัน คาดดูดนักลงทุนจากทั่วประเทศกว่า 30,000 คนเข้าชมงาน ตั้งเป้ามีเงินสะพัดซื้อ ขายภายในงาน กว่า 100 ล้านบาท

โดยจัดงาน “Three in One” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จัด 3 งานแสดงยักษ์ประกอบด้วยงาน Thai Franchise & SME Expo 2010 งาน Thailand Coffee Tea and Drinks 2010 และงาน Thailand Bakery and Ice Cream 2010 บนพื้นที่ 4,000 ตรม. ที่ชั้น 4 MCC HALL เดอะมอลล์ บางกะปิ ระหว่างวันที่ 18 – 21 กุมภาพันธ์ นี้ ///ในปีนี้ มีผู้เข้าร่วมแสดงกว่า 100 บริษัท คิดเป็นจำนวน 200 บูธ เพิ่มจากปีที่แล้ว 15 % โดย 60% ของพื้นที่เป็นงานกาแฟ เครื่องดื่ม เบเกอรี่ และไอศครีม และ 40% เป็นงานแฟรนไชส์และ SME กว่า 10 ประเภท ประกอบด้วยอาหาร กาแฟ เครื่องดื่ม เบเกอรี่ ไอศครีม ความงามและสปา ค้าปลีก อัญมณี ไอทีและดิจิตอล บันเทิง เครื่องหยอดเหรียญ งานพิมพ์ ฯลฯ มีแบรนด์ที่ร่วมแสดงมากมาย อาทิ The Pizza Company, Swensen, 94 coffee, กาแฟสดชาวดอย, Coffman, Molycare by Carlack, HP, Hug Burger, BK Coffee, Siam Best Coffee, Bodyshape Café, ADT Online, Water Net, เด่นซาลาเปา, โรตีบาบาฮาเร่, Lady June, Banana Ticket, ศรีบุญตรายาง, Touch Wood, Asia Forestry, เบญจมิตร, ธนภาคินคีออส, K2, ซำบายดี, Peaberry, Salotto, Espresso Man, Zolito, VPP, Siam Best, กาแฟมหาชน, เขาช่อง, Cafetto, Coffee Works, Fieco, Arco Gamka, Qualitat, Bangkok Flourmill, Snowboy ฯลฯ


ซึ่งงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้แสดงเป็นอย่างมาก โดยมีการจองพื้นที่เต็ม 100% ของ MCC Hall ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้แสดงในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกระเตื้องและความมั่นใจในผลงานของผู้จัดงาน บริษัทฯ ได้ร่วมกับผู้แสดงงัดกลยุทธ “Hot Sale Promotion” โดยจะให้ส่วนลดราคาสินค้าสูงถึง 30% อาทิ เครื่องชงกาแฟ เครื่องบด เมล็ดกาแฟ น้ำเชื่อม เครื่อง ปั่นน้ำผลไม้ และเตาอบเบเกอรี่ ฯลฯ ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟ เบเกอรี่ บาริสต้า และผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจกาแฟที่กำลังมองหาอุปกรณ์ใหม่ๆได้รับประโยชน์สูงสุด


“งานแสดง Three in One จึงเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุน ผู้มีฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง และกำลังมองหาทางเลือกในการลงทุนธุรกิจประเภทต่างๆในเวลาเดียว” นายกวินกล่าวเน้น จุดเด่นของงาน FSE 2010 ในปีนี้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในประเภทธุรกิจที่หลากหลายและเงินลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ เริ่มต้นเพียงแค่ 10,000 บาท หรือจะซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบไปดำเนินการเองก็ได้


นอกจากงานแสดงสินค้า อีกหนึ่งไฮไลท์เด่นของงาน คือ กิจกรรมการแข่งขัน Workshop และสัมมนาตลอด 4 วัน ของการจัดงานเพื่อให้ผู้ชมงานได้รับประโยชน์สูงสุด ภายในงานจะมีการแข่งขันบาริสต้าชิงแชมป์ประเทศไทย (National Thailand Barista Championship) เพื่อเฟ้นหาสุดยอดบาริสต้าและเป็นตัวแทนไปแข่งขันชิงแชมป์บาริสต้าโลกที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับบาริสต้าไทย และพัฒนาธุรกิจกาแฟที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดการแข่งขันได้ที่ โทร 08-1650-0069, Fax. 02-691-0682


ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เข้าชมงานยังสามารถเข้าร่วมฟังฟรีสัมมนากว่า 10 หัวข้อ จากผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์มายาวนานเหมาะสำหรับผู้สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ขนาดเล็กที่ต้องการจะขยายสาขา/ธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องการจะเปิดร้านกาแฟ อาทิ การเขียนแผนธุรกิจเพื่อพิชิตแหล่งเงินทุน รู้ลึกรู้จริงเรื่องแฟรนไชส์ หลักการและข้อคิดก่อนการเลือกซื้อแฟรนไชส์ คุณสมบัติและความพร้อมก่อนก้าวสู่มาตรฐานแฟรนไชส์ ข้อควรระวังในการขยายสาขาแฟรนไชส์ สูตรสำเร็จการบริหารเพื่อลดต้นทุน-เพิ่มผลกำไร การทำตลาด E-Commerce ด้วย Twitter/Facebook ข้อควรระวังเกี่ยวกับธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญ การบริหารธุรกิจกาแฟ เบเกอรี่ อย่างมืออาชีพ ฯลฯ


นอกจากนี้ภายในงานยังมีการสาธิตการทำ Latte Art, Coffee Cupping, Basic Barista Workshop โดยบาริสต้ามืออาชีพ Workshop การทำเบเกอรี่ จากโรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต และอื่นๆ และสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพเสริม หรือคนที่กำลังว่างงานอยู่ ภายในงานยังจะจัดให้มีห้องอบรมสร้างอาชีพสำหรับผู้ที่สนใจฟรี อาทิ สอนทำเบเกอรี่ ซาลาเปา ปาท่องโก๋ ฯลฯ


คาดว่า งานแสดง “Three in One”นี้ จะสามารถดึงผู้เข้าชมงานกว่า 30,000 คนจากทั่วประเทศ เทียบกับ 25,000 คนในปีที่ผ่านมา โดยใช้งบโฆษณาและประชาสัมพันธ์กว่า 2 ล้านบาท ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ วิทยุ และ Website ฯลฯ และคาดว่าจะมียอดซื้อ ขาย ภายในงาน กว่า 100 ล้านบาท


http://www2.moc.go.th

เพจเจอร์ สื่อรักข้ามพรรคของ อลงกรณ์ พลบุตร


เพจเจอร์ สื่อรักข้ามพรรค

พูดคุยเรื่องหนักๆ พักมาถามไถ่ชีวิตครอบครัวกับภรรยาคนสวยสมชื่อ คมคาย หรือ คุณแอ๊ว ซึ่งสมัยยัง แตกเนื้อสาวว่ากันเป็น สส.หญิงเนื้อหอมที่สุด ด้วยความที่เล่นการเมืองตั้งแต่อายุน้อยจึงทำให้บรรดา สส.ทั้ง รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ตามจีบกันพัลวัน ทว่าหนุ่มเมืองเพชรกลับพิชิตใจ อดีต สส.คมคาย “พ่อแม่ของเรารู้จักกันมาก่อน แต่ผมกับแอ๊วไม่รู้จักกัน พ่อบอกว่า ลูกสาวอาหนิด (สนิท เฟื่องประยูร) ได้เป็น สส. ต่อมาได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐ มีข่าว สส.จันทบุรีรำแก้บน ถึงรู้ว่าเป็น คมคาย ตอนนั้นผมยังคิดว่า ติงต๊องหรือเปล่า เป็นถึงระดับ สส.มารำแก้บน พอเจอก็เข้าไปแซวแล้วแนะนำตัว (อมยิ้ม)


“ตอนนั้นผมอายุ 38 ปี อายุมากแล้ว (หัวเราะ) การทำงานการเมืองไม่มีโอกาสเจอใครสักเท่าไหร่ มองไปมองมาก็เห็นคมคายนี่แหละ จึงตัดสินใจตามจีบ ตอนจีบก็ไม่ได้เปิดตัวมาก กลัวคนจะรู้ กลัวเสียภาพ ลักษณ์ เลยใช้วิธีเรียกผ่านเพจเจอร์ เพราะตอนนั้นจะส่งข้อความแล้วก็ไม่กล้าลงชื่อจริง จะใช้ชื่อ ตะวันออก กับ ตะวันตกแทน คิดว่าที่เขาเลือกผมอาจจะเห็นว่าผมเป็นคนรับผิดชอบต่องาน และอาจทนลูกตื๊อผ่านเพจไม่ไหว” เจ้าตัวเฉลยมุกจีบสาวแบบส่วนตัวพลางหัวเราะร่วน


พ่อบ้านเล่าถึงชีวิตแต่งงานซึ่งถือว่าสมบูรณ์ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก แต่ก็เข้าใจกัน ไม่เคยทะเลาะกัน ยิ่งหลังจากมีลูกด้วยกันแล้วทำให้ต้องเป็นมากกว่าสามีภรรยา แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือ หลังบ้าน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของนักการเมืองหลายคนในอดีตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในฐานะที่ตรวจสอบคนอื่น มาเยอะ เรียกว่ามีศัตรูสิบทิศ


“ยิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรียิ่งมีความล่อแหลมมากขึ้นในเชิงผลประโยชน์ ตอนนี้โชคดีที่ภรรยาและลูกๆ ก็อยู่ในโลกของเรา ภรรยาที่เคยเป็น สส. 3 สมัย ผมเลยขอให้เลิกเล่นการเมืองอยู่เลี้ยงลูก เพราะผมไม่สามารถ แบกภารกิจงานกับลูกพร้อมกันได้ ที่สำคัญลูกยังเล็ก คนโตชื่อ น้องพลอย-สภาวรรณ เรียนอยู่ ม.2 โรงเรียนสตรีวิทย์ คนรองชื่อ น้องเพชร-ธัชธรรม เรียนอยู่ ป.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และคนเล็กชื่อ น้องเพื่อน-พิมพ์สภา เรียนอยู่ ป.3 โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ เรียกว่าวัยกำลังกินกำลังนอน เขาต้องการ ความอบอุ่น และต้องดูแลใกล้ชิด


“นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดี ระบบครอบครัวไม่เป็นจุดอ่อนให้กับผม อันที่จริงผมยังมีลูกอีกคนหนึ่งที่เกิด จากภรรยาคนแรก ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ก็อยู่ตัวแล้ว ผมเป็นคนรักลูกมาก จะกลับมาดึกแค่ไหน ทุกวันตี 5 ผมต้องตื่นเพื่อส่งลูกไปโรงเรียน เพราะผมเป็นคนเข้ากระทรวงเช้า เจ็ดโมงครึ่งผมก็ถึงกระทรวงแล้ว ช่วงเช้าๆ จะมีเวลานั่งทำงานคิดและวางแผนการสั่งงานเพื่อแก้ปัญหา” เขาเอ่ยถึงบทบาทพ่อของลูกควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง


ชมรมกอล์ฟลีลาวดี สร้างมิตรภาพ

ถึงจะออกตัวว่ารักครอบครัวเป็นที่สุด ทว่าในมุมหนึ่งของหนุ่มเมืองเพชรผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคง ไม่มีเสียงเล่าขานถึงความเจ้าเสน่ห์จนทำสาวๆ ใจละลายโดยไม่รู้ตัว “ผมว่าคนร่ำลือกันมากไป ผมเป็นคนไม่ถือ เนื้อถือตัว เป็นมิตรกับทุกคน เป็นคนสนุกสนาน หลายคนบอกว่าตอนที่ผมตรวจสอบการทุจริตดูเป็นคนที่ดุมาก แต่จริงๆ ผมเป็นคนสนุกสนาน (หัวเราะ) และชอบตีกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ เล่นมากว่า 10 ปีจนตั้งเป็นชมรมชื่อว่า ชมรมกอล์ฟลีลาวดี


“ผมพยายามตีกอล์ฟให้ได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ไปตีหลายสนาม อาทิ สนามราชพฤกษ์ ลำลูกกา กฤษฎานคร เอกชัย หรือปัญญา ตรงรามคำแหง ตีจนกระทั่งฝีมือแบบเมดอินไทยแลนด์ คิดค้นวงสวิง ของตัวเองกลายเป็นวงลูกผสม ระหว่างลูกทุ่งและลูกกรุง (หัวเราะ) แต่พยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้น่าเกลียด จนเกินไป ก็เป็นวงอลงกรณ์ไป ไม่เหมือนวงสวิงแบบไทเกอร์ วูดส์ วงสวิงของผมสร้างความเคียดแค้นอาฆาต กับเพื่อนฝูงมามาก เพราะส่วนใหญ่จะกินเพื่อน เล็กๆ น้อยๆ พอให้ตื่นเต้นเท่านั้นเอง


“ตอนลงแข่งครั้งแรกที่พรรคจัด ได้ถ้วยบู้บี้ก่อนจะได้แชมป์ เพื่อนร่วมก๊วนก็มี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ไพฑูรย์ แก้วทอง, สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งเป็นเพื่อนในพรรคเดียวกัน ที่ผ่านมา ผมจะชอบเอาหลายหน่วยงานมาตีกอล์ฟกัน เช่น ผมเอาหอการค้าไทยมาตีกอล์ฟจะถกเรื่องจีเอสพีให้ขยาย เยอะๆ หน่อย หรือตอนไปตีกับรัฐมนตรีคลัง คุณกรณ์ จาติกวณิช ผมจะเปรยๆ กระทรวงผมอยากได้ งบประมาณส่งเสริมด้านนี้เพิ่มขึ้น ผมก็ยอมเสียให้คุณกรณ์สักสิบกว่าพอยต์ เพื่อให้เขาดีใจว่ากินเราได้ (หัวเราะ) แต่หารู้ไม่ว่าผมกำลังตีตลบหลังกินข้างหลัง แต่มันได้มิตรภาพ ได้ความเป็นเพื่อน ได้รีแลกซ์ บางคนไม่รู้ว่าการตีกอล์ฟเหมือนว่าเราได้กลับไปสู่ธรรมชาติ” น้ำเสียงเฮฮาเผยเทคนิคใต้ดินในก๊วนกอล์ฟ


หลักบริหาร รับฟังมีส่วนร่วม

เมื่อเอ่ยถามถึงคนต้นแบบที่นำมาเป็นแบบอย่างในการทำงาน รัฐมนตรีช่วยหนุ่มใหญ่บอกว่า ไม่สามารถฟันธงเลือก Role Model แบบหนึ่งในใจเพียงคนเดียวได้ เพราะไม่มีใครสมบูรณ์ครบถ้วนในคนคนเดียว หากแต่ละคนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งเป็นตัวอย่างของนักบริหารเกี่ยวกับกิจการสาธารณะ หรือ พ.อ.วินัย สมพงษ์ อดีต รมต.คมนาคม เป็นต้นแบบการงานในแง่ความขยัน เอาใจใส่ต่องาน ตัดสินใจเร็ว รวมทั้ง ประจวบ ไชยสาส์น เป็นคนต้นแบบทางความคิด ผู้ริเริ่มโครงการโขงชีมูล แก้ไขปัญหาเรื่องระบบน้ำในภาคอีสาน


“ผมไม่มีจุดสูงสุดในชีวิต ทุกวันคือจุดสูงสุดในชีวิต เพราะว่าการทำงานคือความสุข หลายคนถามว่า งานหนักไหมเห็นตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วก็กลับถึงบ้านนอนตอนตี 1 ทำงาน 7 วันไม่ได้หยุด วันหนึ่งต้องมีงานเข้ามา กว่า 20 งาน แต่ความที่ผมมีประสบการณ์ ทั้งการบริหาร และเห็นระบบราชการแผ่นดินมาเป็นเวลากว่า ทศวรรษ เคยได้สัมผัสมาทั้งงานภาคเอกชนจนถึงงานราชการ อีกทั้งเป็นคนที่ชอบศึกษาและติดตามโลก เฉลี่ยอยู่กับคอมพิวเตอร์อย่างน้อยวันละ 3-4 ชั่วโมงจนมี hi5 ผมก็เป็นคนอินเทรนด์ (หัวเราะ)
“ส่วนหลักยึดในการทำงานคงอยู่ตรงการรับฟังและมีส่วนร่วม ซึ่งสามารถเปลี่ยนให้เราที่อาจจะ เป็นคนโง่ในแต่ละวัน กลายเป็นคนฉลาดขึ้น ทำให้เรารู้เท่าทันเหตุการณ์มากขึ้น หลังจากที่เราเป็นเหมือน เต่าตามหลังคนอื่น ในวันเดียวกันผมจะเป็นคนที่เปลี่ยนไป 360 องศา เพราะว่าผมรับฟังอย่างไม่ถือตัว พอรับฟังแล้วจะสังเกตมีอะไรที่จะเป็นประโยชน์ และผมไม่เคยคิดเลยว่าเป็นรัฐมนตรีแล้วงานต้องหนักอะไร แต่ผมทำเต็มที่จริงๆ” เขาย้ำประโยคดังกล่าวอีกครั้ง สอดคล้องแนวคิดกลยุทธ์ Armageddon อันหมายถึง การสู้รบครั้งใหญ่ซึ่งต้องถึงที่สุด…หากการต่อกรในสมรภูมิเศรษฐกิจของโลกจะไปถึงเป้าหมายใกล้เส้นชัย ที่หวังไว้ได้เพียงใด ถือเป็นบทพิสูจน์น้ำคำอันน่าท้าทายไม่น้อยทีเดียว




ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
www.oknation.net

รัฐมนตรี อาร์มาเกดดอน อลงกรณ์ พลบุตร “ผมไม่ได้อ่อนหัด”


รัฐมนตรี อาร์มาเกดดอน อลงกรณ์ พลบุตร “ผมไม่ได้อ่อนหัด”
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง






รัฐมนตรี อาร์มาเกดดอน

อลงกรณ์ พลบุตร “ผมไม่ได้อ่อนหัด”


หนึ่งในไม้เบื่อไม้เมาผู้มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงวาระซ่อนเร้นโครงการหลากหลายของรัฐบาล ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลื่องลือที่สุดคงเป็นเรื่องการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ กระทั่งได้รับการคัดเลือก จากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้เป็น “ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภาประจำปี 2546” พร้อมรับฉายา “มือปราบ รัฐสภา” รั้งท้ายชื่อ อลงกรณ์ พลบุตร นับตั้งแต่นั้นมา


ทว่าการทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบในฝั่งของฝ่ายค้าน ทำให้เขาต้องเผชิญกับการถูกฟ้องร้อง และ ถูกแจ้งจับกว่า 20 คดี ข้อหาหมิ่นประมาทจากคดีที่เข้าไปตรวจสอบการทุจริต รวมทั้งโดนฟ้องทางแพ่ง เกือบหมื่นล้านบาท


ปัจจุบัน สส.หนุ่มเมืองเพชร สายเลือดประชาธิปัตย์ ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ดูแลรับผิดชอบ 3 กรม คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจา การค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังกำกับดูแลอีก 2 องค์การมหาชน คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณี และเครื่องประดับ และศูนย์ศิลปาชีพ นอกจากนี้ยังเป็นประธานกำกับนโยบายจำนำข้าวโพดประจำปี 2551-2552 ส่งเสริมด้านการส่งออกในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา


กระทั่งเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวง พาณิชย์ เข้าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ย่านพัฒนพงษ์ จนเกิดการปะทะกับพ่อค้าแม่ค้า กลายเป็นประเด็นซึ่ง ทำให้รัฐมนตรีถูกกระแสวิจารณ์ “อ่อนหัด” ผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นถึง “มือปราบ” จะคิดอ่านอย่างไร WhO? ตามไป แถลงไขถึงในกระทรวงพาณิชย์ เผยหลายประเด็นการเมืองคาใจ พร้อมย้อนอดีตรักหวานชื่นชวนอิจฉา กว่าจะ มาเป็นครอบครัวอบอุ่นเช่นปัจจุบัน


ตะลุยปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์


หนุ่มใหญ่วัยย่างเข้าเลข 5 นำหน้ามาเพียง 2 ปี ก่อนหน้านี้เคยโลดแล่นอยู่ในแวดวงข่าวในฐานะนัก หนังสือพิมพ์และผู้ผลิตข่าวโทรทัศน์ กระทั่งมาถึงจุดพลิกผันหลังจากการทำรัฐประหารคณะ รสช. ในปี 2534 จึงตัดสินใจวางปากกาพาตัวเองเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว


อดีตเหยี่ยวข่าวยิ้มรอรับคำถาม พร้อมเปิดเผยถึงเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจปราบปราม การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เข้าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ย่านพัฒนพงษ์ “เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่การสร้างภาพของรัฐบาล พอดีช่วงนั้นเตรียมการจัดประชุมรัฐมนตรี สาธารณสุขอาเซียน ที่โรงแรมดุสิตธานี ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับย่านพัฒนพงษ์


“ขอยืนยันว่าต้องการสร้างสังคมและกฎหมายให้เกิดความถูกต้อง เพราะสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้ ทำให้ประเทศไทยได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 2-3 แสนล้านบาทต่อปี อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรม เครื่องหนังต้องปิดตัวเอง คนต้องตกงาน ไม่เคยมีใครคิดว่าคนเหล่านี้ได้กระทำผิดกฎหมาย และทำลาย อุตสาหกรรม ทำลายเศรษฐกิจ


“ในส่วนของการดำเนินการในจุดอื่น ไม่มีพื้นที่ไหนละเว้น ไม่ว่า มาบุญครอง คลองถม บ้านหม้อ สะพานเหล็ก แต่ต้องยอมรับว่าธุรกิจใต้ดินเหล่านี้มีส่วย ดังนั้นการดำเนินการต้องทำให้ละมุนละม่อมที่สุด แต่ เนื่องจากมีนักเลงโต มาเฟีย คอยคุม เหมือนบ่อนเถื่อนเปิดกลางกรุงได้ยังไง จากนี้ไปจะให้เจ้าหน้าที่เข้าไป จับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ตามแหล่งที่กล่าวมา ผมจะดูรายงานทั้งหมดว่าเหตุการณ์การจับกุมเป็นอย่างไร เพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขอให้เชื่อมั่นว่าการทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้อ่อนหัดตามเสียงวิจารณ์ แน่นอน” รมช.พาณิชย์ ชี้แจงเสียงเข้ม

วิสัยทัศน์ อลงกรณ์ พลบุตร กับเส้นทางโครงการ " Creative Thailand " สู่เวทีโลก

วิสัยทัศน์ อลงกรณ์ พลบุตร กับเส้นทางโครงการ " Creative Thailand " สู่เวทีโลก
โอกาสนี้ คุณอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานเปิดงาน “Singha Light Present International Fashion Week & Music Festival” และเป็นหนึ่งในคณะทำงานที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการ Creative Thailand ได้ให้เกียรติเปิดเผยวิสัยทัศน์และแง่มุมต่างๆ ของเส้นทางครีเอทีฟ ไทยแลนด์สู่เวทีโลกกับทางเว็บไซต์ภูเก็ตบูลเลทินออนไลน์



B online : ก้าวแรกของโครงการ “Creative Thailand”
โครงการ Creative Thailand เป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ตามนโยบายหลักของท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า Creative Economy ซึ่งขณะนี้ก็มีความคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ถือได้ว่าเป็นกระทรวงที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นพื้นฐานของแนวทางการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดังนั้น เราจึงจัดตั้งโครงการที่เรียกว่า “Creative Thailand” ขึ้น เพื่อผลักดันให้ประเทศ ไทยก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกิจกรรมที่จัดในประเทศ แต่ยังมีการจัดกิจกรรมในต่างประเทศที่เราได้สร้างความร่วมมือกับบรรดาประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนในเรื่องของการสร้างสรรค์โดยพื้นฐานของทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศนั้นๆ ความร่วมมือเหล่านี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คือ ตั้งแต่เรื่องของการมาช่วยด้าน Designing , Branding & Marketing โดยเราจะพยายามเกาะเกี่ยวไปกับแบรนด์ระดับโลกที่ดังอยู่แล้ว และตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไหมไทย ในโครงการไหม ไทยสู่เส้นทางโลกที่เรากำลังพยายามผลักดันนี้ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสินค้าไทย ที่เข้าไปเชื่อมโยงกับแบรนด์ดังระดับโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จักเราเร็วขึ้น



B online : หมายความว่าตอนนี้ผลผลิตของโครงการ Crative Thailand ก็กำลังได้รับการตอบรับที่ดีจากนานาชาติ
ถูกต้องครับ เพราะว่า จริงๆแล้วถ้าพูดถึงสินค้าที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy) นั้นมีมูลค่าถึง 11% ของ GDP หรือประมาน 600,000-700,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่สูง เพราะฉะนั้นเราจึงมีโอกาสมาก อย่างกระทรวงพาณิชย์เรามีโครงการเรียกว่า IP Champion คือบริษัทไทยที่ส่งออกสินค้าบนพื้นฐานของ Creative Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเพียงแค่ 10 บริษัทชั้นนำนี่ก็มีมูลค่าการส่งออกถึง 250,000 ล้าน ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่า แนวทางของการส่งเสริมนี้เราได้มาถูกทางแล้ว และจะถือว่าเป็นแนวทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศก็ว่าได้



B online : อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำขณะนี้คือการเข้าไปช่วยให้การสนับสนุนผู้ผลิต และดีไซเนอร์ที่มีความสามารถอยู่แล้วให้มีความสามารถมากขึ้นไปอีก โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
ใช่ครับ เราสนับสนุนและพยายามที่จะให้บริษัท แฟชั่นเฮาส์ของไทยเข้ามามีส่วนร่วมแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ เพราะว่าพวกเค้ามีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว รัฐบาลก็จะเข้าไปช่วยสนับสนุนในสิ่งที่เค้าขาด อย่างที่บอกคือ เราเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังยกร่างโครงการการประกวดดีไซน์เนอร์ของประเทศขึ้นมา โดยตั้งรางวัลไว้สูงถึง 1 ล้านบาทสำหรับผู้ชนะ แล้วก็จะร่วมกับบรรดาบริษัทแบรนด์เนมระดับโลก และบริษัทแบรนด์เนมในประเทศไทยที่อยู่ในสาขาของแฟชั่นร่วมช่วยกันผลักดัน ซึ่งแฟชั่นในที่นี้หมายรวมถึง เครื่องประดับต่างๆ และอัญมณี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีจุดแข็งมากที่เราส่งออกปีละ 2 แสนกว่าล้านบาท รวมไปถึงการดีไซน์ประเภท เครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้าต่างๆ พร้อมกันนั้น ก็จะดึงดีไซเนอร์คนไทยในระดับโลกที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา อย่างบางคนที่ได้ออกแบบให้กับ first lady ของประธานาธิบดี บารัก โอบามา หรือบางคนเป็นดีไซเนอร์สำหรับสินค้าแบรนด์เนมอย่าง DKNY ฯลฯ เราก็จะพยายามระดมความร่วมมือให้กลับมาช่วยในการพัฒนาด้านแฟชั่นของประเทศไทย



B online : ในทรรศนะของท่านคิดว่าสินค้าไทย แฟชั่นไทยที่กำลังพัฒนา ควรมีองค์ประกอบใดบ้างที่จะนำไปสู่การยอมรับในระดับสากลได้
เริ่มตั้งแต่เรื่อง Production ความเป็นมาตรฐานการผลิต การออกแบบตามเทรนด์ของโลก และตาม เทรนด์ของตลาดเป้าหมายของเรา ไปจนถึงเรื่องของการสร้างตราสินค้าขึ้นมา คือการ Branding จากนั้นก็คืองาน Marketing
ถ้าพูดถึงในส่วนของ Production ขณะนี้ส่วนใหญ่เราเป็น OEM (การรับจ้างผลิตสินค้าในตราผลิตภัณฑ์อื่น) ซึ่งโรงงานการผลิตของเราส่วนใหญ่นั้นมีมาตรฐานสูงมาก และเราก็เป็น OEM ให้กับแบรนด์ระดับโลกจำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้น บนพื้นฐานเหล่านี้ก็จะพยายามให้เป็น OBM ซึ่งหมายถึงการมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการโดยที่รัฐบาลสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่องของการจัดประกวดดีไซเนอร์ การจัดประกวดแฟชั่น การจัดแฟชั่นโชว์ และก็ไม่ใช่จัดเฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียวนะครับ เรามีแผนที่จะไปจัดกิจกรรมลักษณะนี้ในต่างประเทศด้วย ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังพิจารณาว่า เดิมทีเราจัดไทยเทรดแฟร์ในทั่วทุกภูมิภาคของโลก แต่ส่วนใหญ่ไปขายของขายสินค้า แต่ตอนนี้เรากำลังพิจารณาที่จะสร้างความมีสีสันโดยจะให้เอาการจัดแฟชั่นโชว์เข้าไปเสริม สิ่งนี้ก็จะทำให้พวกการอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าแฟชั่น แล้วก็เครื่องหนัง ตลอดจนอัญมณีเครื่องประดับสามารถที่จะเดินไปพร้อมกันได้ รวมไปถึงการส่งเสริมเรื่องแฟชั่นให้ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวในอนาคตด้วย



B online : ท่านคิดว่า production ด้านครีเอฟของไทยบางส่วนที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับสู่สากลนั้น ยังมีส่วนไหนบ้างที่ต้องปรับปรุง
ผมคิดว่าการสนับสนุนในภาครัฐนี่แหละที่ยังต้องปรับปรุง เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่อง Creative Economy แล้วเนี่ย ปัญหานี้ก็คงจะหมดไป โดยเฉพาะงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง” หรือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงบให้กับโครงการด้าน Creative Economy ดังนั้นก็ถือว่า ท่านนายกรัฐมนตรีท่านได้กำหนดเป็นวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์และเริ่มมีงบประมาณสนับสนุน โดยที่ทำงานร่วมกันก็จะมีท่านอภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเป็นกำลังสำคัญ ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์คงจะไปได้ดีขึ้นกว่าในอดีต



B online : ในเรื่องของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อผลงานของครีเอทีฟของเราก้าวเข้าสู่เวทีโลกแล้ว เราจะมีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยอย่างไร
...สำหรับเรื่องนี้ก็ได้ใช้มาตรการทั้งในเรื่องของการป้องกันและปราบปราม ควบคู่ไปกับเรื่องของการให้การศึกษา
เพื่อให้สังคมไทยได้เข้าใจถึงความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญา เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราไปสู่ตลาดโลก เราก็ย่อมต้องการคุ้มครองเช่นกัน ขณะเดียวกัน การที่เราพยายามที่จะคุ้มครองเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น พวกเทปเพลง ซีดีเพลง ภาพยนตร์ก็ดี หรือการคุ้มครองในเรื่องของเครื่องหมายการค้า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สารพัดอย่างเหล่านี้ก็เพื่อที่จะให้คนไทยได้กล้า และคิดว่ามันคุ้มค่าที่เค้าจะประดิษฐ์คิดค้นสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา ถ้าเราไม่คุ้มครอง เค้าก็จะถูกปล้นทางความคิดและก็จะไม่คิด และเกิดความรู้สึกว่า งั้นเราก๊อปปี้ดีกว่า มันก็จะทำให้เราอ่อนแอลงทุกวันๆ


B online : อย่างในตอนนี้แฟชั่นของต่างประเทศอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นไทย ท่านคิดว่าเรามีโอกาสก้าวทันประเทศเหล่านั้นไหม
ผมคิดว่าเรามีโอกาสมากที่จะก้าวทันประเทศเหล่านั้นถ้านโยบายของรัฐบาลมีความต่อเนื่อง และถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกรัฐบาลจะต้อง สานต่อและมีการสนับสนุนงบประมาณให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง อย่างในประเทศเกาหลี ความจริงก็ยังพัฒนาด้านครีเอทีฟไปได้ไม่กี่สาขาและยังแข่งขันอยู่ในแวดวงเอเชีย ยังไม่ได้ก้าวไปสู่ในระดับตลาดโลกอย่างแท้จริง ฉะนั้น ประเทศไทยก็ยังมีโอกาสอยู่มาก ยกตัวอย่างในเรื่องอาหาร อาหารไทยของเราก็ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติไม่แพ้ชาติใด ฉะนั้นอาหารไทยก็จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ครีเอทีฟไทยแลนด์ ที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้ขับเคลื่อนไปสู่การยอมรับในสากลเช่นกัน เพราะฉะนั้นคิดว่าเรายังขับเคลื่อนโครงการครีเอทีฟไทยแลนด์ไปได้อีกหลายสาขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การสนับสนุนของรัฐบาลและความต่อเนื่องของนโยบาย



B online : โครงการต่อไปที่กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลมีแผนจะสนับสนุน ผลิตภัณฑ์อันเกิดจากความคิดของคนไทยให้ก้าวสู่เส้นทางสากล
โครงการครีเอทีฟไทยแลนด์ ของกระทรวงพาณิชย์ ต้องการที่จะสนับสนุนใน 12 สาขา ไม่ใช่เฉพาะแฟชั่นเท่านั้น ทางด้านของ animation , computer graphic , ภาพยนตร์ ฯลฯ เราก็มีแผนจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นให้นักสร้างสรรค์ได้แสดงออก อย่างในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ก็จะมีการจัดงาน Thailand Entertainment Expo ซึ่งเน้นไปในเรื่องของดนตรี ภาพยนตร์แอนิเมชั่น คอมพิวเตอร์กราฟฟิค การ์ตูนคาแร๊กเตอร์ โดยที่กระทรวงพาณิชย์เป็นสปอนเซอร์ในการจัด นอกจากนี้ ยังมีการจัดแฟชั่น “เอเชี่ยน แฟชั่น ฟรอต เทรดแฟร์” ซึ่งถือว่าเป็นงานแรกที่จัดขึ้นในรูปแบบของเอเชี่ยน เทรดแฟร์ ที่เน้นไปในเรื่องของแฟชั่น ซึ่งก็จะเป็นอีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างมาก หรือว่าทางด้านผลิตภัณฑ์โอทอป ก็มีโครงการ Creative Otop คือจะคัดเลือกโอทอป ในระดับ 5 ดาว เพื่อต่อยอดไปสู่การส่งออก เพราะฉะนั้นก็จะมีการสนับสนุนการปรับปรุงทั้งทางด้าน packaging designing และการทำ marketing ในระดับสากล นี่เป็นตัวอย่างกิจกรรมที่เรามีแผนที่จะจัดขึ้นโดยตลอด ซึ่งทุกโครงการนั้น รวบรวมอยู่ในนโยบาย “Creative Thailand“



เมื่อความคิดสร้างสรรค์ได้รับการส่งเสริมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจแบบ “Creative Economy” ในวันนี้ หากทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกันผลักดันให้มีกิจกรรมดีๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เชื่อว่า เป้าหมายที่ต้องการให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย โชว์ศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกนั้น คงไม่ไกลเกินไป...


http://www.phuketbulletin.co.th/people/view.php?id=373

จุดพลิกผันสู่เส้นทาง ส.ส.อลงกรณ์

รสช. จุดพลิกผันสู่เส้นทาง ส.ส. ของอลงกรณ์ พลบุตร
“เมื่อเกิด รสช.ปี 2534 ตอนนั้น นอนอยู่ ได้ยินประกาศ รสช. ก็คิดว่า เผด็จการกลับมาอีกแล้ว จึงตัดสินใจลงเล่นการเมือง”อลงกรณ์ กล่าว

แต่ลงครั้งแรกสอบตก โดยได้ 40,000 กว่าคะแนน จึงรู้ว่า คนต้องการการเปลี่ยนแปลง

ลงครั้งที่ 2 ได้ 100,000 กว่าคะแนน สูงสุดของจังหวัด และได้รับเลือกตั้งต่อมา ในปี 2538 แต่ในการเลือกตั้งปี 2539 กลับสอบตก แบบไม่คาดฝัน

แม้จะสอบตก แต่ยังได้รับความไว้วางใจ จาก “ชวน หลีกภัย” เป็นเลขานุการผู้นำฝ่ายค้าน เเลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี

“ผมไม่ได้สนิทกับนายชวน ที่ได้รับความไว้วางใจ คิดว่า เพราะผมเป็นคนที่รับผิดชอบต่องาน ส่วนตัว ไม่ชอบระบบการสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อตำแหน่ง” อลงกรณ์ อธิบาย

เอธานอลผลงานที่ภูมิใจ
“ผลงานที่ผมภูมิใจที่สุด ในหน้าที่ผู้แทนราษฎร ไม่ใช่การตรวจสอบการทุจริต แต่เป็นความสำเร็จในการผลักดัน โครงการเอธานอล”อลงกรณ์ กล่าว

ตอนนั้น กลัวว่า ครม. จะไม่รับ ผมถึงกับขับรถไถนา ที่ขอยืมมาจากโครงการส่วนพระองค์ ขับเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิสูจน์ให้ครม.เห็นว่า สามารถใช้ เอธานอลได้ ที่ภูมิใจ เพราะที่ผ่านมา เราจะต้องซื้อน้ำมันเข้ามาปีละ 300,000 ล้านบาท หากมีการใช้เอธานอลก็จะแก้ปัญหานี้ได้ แถมชาวบ้านมีรายได้เพิ่มด้วย

ในฐานะผู้แทนราษฎร แน่นอนว่า เงินเดือนจำนวนครึ่งแสน คงไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย ทั้งส่วนตัว และค่าใช้จ่ายเพื่อสังคม หรือชาวบ้าน ส.ส.ทุกคน จึงต้องมีธุรกิจ ส่วนตัวเพื่อซับพอร์ตงานการเมือง ไม่เว้นแม้แต่ “อลงกรณ์”

นอกจากทำงานการเมือง อลงกรณ์ มีธุรกิจการประมงระหว่างประเทศ โดยหลีกเลี่ยงงาน ที่ไม่ Conflict of Interest กับตำแหน่ง ส.ส.

รมต.ไม่ฝันขอเป็นประธานสภา
อลงกรณ์ บอกว่า ความฝันสูงสุดในชีวิต คือ การเป็นผู้แทนราษฎร และที่ภูมิใจ คือเป็นผู้แทนโดยไม่ได้ใช้เงินไม่เคยย้ายพรรค ไม่ว่า จะชนะหรือแพ้มากน้อยแค่ไหน เพราะ เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นสถาบัน พรรคจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คน เราจะต้องรับผิดชอบต่อพรรค สิ่งที่เราทำส่งผลกระทบต่อพรรค ไม่ว่า ความล้มเหลวหรือความสำเร็จ

นอกจาก ส.ส.แล้ว ก็อยากจะเป็นรอง- ประธานสภา หรือประธานสภามากกว่า การเป็นรัฐมนตรี เพราะได้ทำงานกว้างขวางกว่า ตำแหน่ง ส.ส.ถือเป็นตำแหน่งของประชาชน “อลงกรณ์” บอกความในใจ

“มุมมองในการทำงานของผม คือ จะ ต้องกล้าคิด กล้าทำ และกล้ารับผิดชอบ หากกล้าคิด แต่ไม่กล้าทำ การปฏิบัติก็เป็นศูนย์ หรือหากกล้าทำ แต่คิดไม่ดี ก็ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่จะต้องคิด คือ ทำอะไรให้เกิดประโยชน์มากขึ้น” อลงกรณ์ กล่าว

เปิดก๊วนกอล์ฟมีแต่ขุนพลเศรษฐกิจ
เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่า “อลงกรณ์” จะมีภารกิจที่ยุ่งเหยิง แทบไม่มีวันว่าง ทำให้สงสัยว่า มีงานอดิเรกอะไรบ้าง

“มีตีกอล์ฟบ้างเดือนละ 2-3 ครั้ง แล้ว แต่โอกาส เล่นมาแล้ว 5 ปี ลงแข่งครั้งแรกที่พรรคจัด ได้ถ้วยบู้บี้ ก่อนจะได้แชมป์ เพื่อนร่วมก๊วนก็มี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ไพฑูรย์ แก้วทอง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งเป็นเพื่อนในพรรคเดียวกัน สนามที่เล่นก็ไม่แน่นอน อาทิ สนามราชพฤกษ์ ลำลูกกา กฤษฎานคร เอกชัย หรือ ปัญญาตรงรามคำแหง” อลงกรณ์ กล่าวใน ช่วงท้ายของการสนทนา

เส้นทางชีวิตของ “อลงกรณ์ พลบุตร” นับว่า น่าสนใจ ทั้งด้านชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และชีวิตการเป็นนักการเมือง เป็นแบบอย่างของนักสู้ได้เป็นอย่างดี

http://www.arip.co.th/businessnews.php?id=404614

โฟนลิ้งสื่อรักข้ามพรรค

โฟนลิ้งสื่อรักข้ามพรรค

ย้อนกลับไปถึง “คมคาย พลบุตร” ก่อน ตกลงปลงใจ แต่งงานกับ “อลงกรณ์” ในยุคนั้น เรียกได้ว่า เป็น ส.ส.ที่เนื้อหอมที่สุด เพราะเป็น ส.ส.หญิงที่มีอายุน้อยที่สุด ทำให้บรรดา ส.ส.หนุ่ม และไม่หนุ่มตามจีบกันหลายคน แต่ “อลงกรณ์” กลับพิชิตใจเธอได้ “อลงกรณ์” เล่าถึงกลยุทธ์การพิชิตใจ “คมคาย” ให้ฟัง “พ่อ แม่ของเรา รู้จักกันมาก่อน แต่ผม กับ“แอ๊ว” ไม่รู้จักกัน พ่อก็บอกว่า “ลูกสาวอาหนิด ได้เป็น ส.ส.นะ” ต่อมาได้มาอ่านข่าวหน้า 1 ไทยรัฐ มีข่าว ส.ส.จันทบุรีรำแก้บน จึงรู้ว่า เป็น “คมคาย เฟื่องประยูร” ยังคิดว่า ติ๊งต๊องหรือเปล่า เป็นถึงระดับ ส.ส. แต่มารำแก้บน พอมาเจอ ก็เข้าไปแซว แล้วแนะนำตัว

“อลงกรณ์” เล่าต่อว่า ตอนนั้น ผมอายุ 38 ปี อายุมากแล้ว แต่การทำงานการเมือง ไม่มีโอกาสเจอใครซักเท่าไหร่ มองไปมองมา ก็เห็น “คมคาย” นี่แหละ จึงตัดสินใจตามจีบ “ตอนจีบ ก็ไม่ได้เปิดตัวมาก เพราะกลัวคนจะรู้ กลัวเสียภาพลักษณ์ ก็จะใช้วิธีเรียกผ่านโฟนลิ้ง เพราะตอนนั้น จะใช้โฟนลิ้ง กัน ส่งข้อความผ่านโฟนลิ้ง ก็ไม่กล้าลงชื่อจริง จะใช้ ตะวันออก กับตะวันตก แทน คิดว่า ที่เขาเลือกผม อาจจะเห็นว่า ผมเป็นคนรับผิดชอบต่องาน และอาจจะเป็นเพราะลูกตื้อ ตื้อผ่านโฟนลิ้งบ่อย

“ชีวิตแต่งงาน ก็ถือว่า สมบูรณ์นะ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก แต่ก็เข้าใจกัน ไม่เคยทะเลาะกัน หลังจากมีลูกแล้ว แอ๊วกับผม ตอนนี้ เป็นมากกว่าความเป็นสามีภรรยาไปแล้ว” ส.ส.เพชรบุรี กล่าว

รับรู้ถึงครอบครัว “พลบุตร” กันแล้ว ตามไปดูเส้นทางเดินของ “อลงกรณ์” ดูบ้างว่า เขามีเส้นทางความเป็นมาอย่างไร มีแนวคิดอย่างไร จึงมาเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ ในทุกวันนี้ พิสมัยการเมืองตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ

อลงกรณ์” เป็นคนเพชรบุรี โดยกำเนิด หลังจบม.ศ.5 จากโรงเรียนอรุณประดิษฐ์ ของจังหวัด ก็เข้าเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สนใจกิจกรรมตั้งแต่เรียนมัธยม ตอน เรียน ม.ศ.4 ม.ศ.5 ได้เป็นประธานนักเรียน มาเข้าเรียนธรรมศาสตร์ ก็สนใจบทบาททางการเมือง ตอนปี 2 เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 มีเพื่อนที่สนิทมาก คือ “จารุพงศ์ ทองสิน” ถูกทำร้าย จนเสียชีวิต ผิดหวังมากเกลียดเผด็จการมาก

จากคณะนิติศาสตร์ ย้ายไปเรียนรัฐศาสตร์ เพราะไม่อยากออกไปเป็นทนายความช่วยเหลือคนผิด แต่ก็เรียนจบ 4 ปี หลังจากเรียนจบ เข้าป่าไปทำงานเหมืองของครอบครัว 1 ปี จึงเข้ากรุงเทพฯ เพราะพ่อ แม่ และเพื่อนฝูง ต้องการให้นำวิชาที่เรียนไปใช้ประโยชน์

เข้ากรุงเทพฯ “อลงกรณ์” เข้าทำงานหนังสือพิมพ์ที่ เสียงปวงชน ซึ่งตอนนั้น มีกำแหง ภริตานนท์ คุมบังเหียน จากนั้น ไปทำที่บ้านเมือง และแนวหน้า ตามลำดับ

ที่แนวหน้า เป็นคนแรกที่เปิดหน้าเศรษฐกิจภาคภาษาไทย เมื่อปี 2526 ทำหน้าที่หัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ และบก.ข่าวในประเทศ เป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อสู้เพื่อปลดแอกสื่อ อยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ต่อสู้เพื่อปลดโซ่ตรวนหนังสือพิมพ์ คือ ปร.42 เรื่องที่ 2 พยายามปลดแอกอาชีพหนังสือพิมพ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพแรงงานนักหนังสือพิมพ์ เพื่อปกป้องคนหนังสือพิมพ์ และรับเป็นเลขาธิการคนแรก ช่วงอยู่ที่แนวหน้า ก็รับเป็นอาจารย์พิเศษ สอนหลายมหาวิทยาลัย อาทิ ม.ธรรมศาสตร์ม.จุฬาลงกรณ์ ม.กรุงเทพ และม.หอการค้า เป็นต้น

เดินทางไปอยู่ประเทศสหรัฐ 2 ปี ทำงานด้าน อิมพอร์ต เอกซ์พอร์ต ด้านสิ่งทอ กลับมาจัดตั้งบริษัท เทเลเพรส เพื่อผลิตโทรทัศน์ป้อนให้กับช่อง 5 นับเป็นผู้ผลิตข่าวโทรทัศน์รุ่นที่ 2 ต่อจาก บริษัท แปซิฟิค ที่ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล รับผิดชอบอยู่ และตอนนั้น เป็นรองผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

ชีวิตที่ลงตัวของ "อลงกกรณ์ พลบุตร"

ในขณะที่คนทั่วไปมองภาพของ “อลงกรณ์ พลบุตร” เป็นมือปราบรัฐสภา ติดตามตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นมาแล้วหลายเรื่อง ตั้งแต่เรือขุดเอลลิคอตต์ จนล่าสุดโด่งดังในการตรวจสอบ การทุจริตการซื้อปุ๋ยอินทรีย์ แต่อีกด้านหนึ่งมีน้อยคนที่จะรู้ว่า “อลงกรณ์” หรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่า “เสี่ยจ้อน” เป็นคนอ่อนโยน และรักครอบครัวเป็นที่สุด
“ผมแต่งงานกับ “แอ๊ว” มาแล้วเกือบ 7 ปี มีลูก 3 คน คนโตชื่อ “น้องพลอย” หรือชื่อจริง สภาวรรณ อายุ 6 ขวบ คนรองชื่อ “น้องเพชร” ธัชธรรม อายุ 4 ขวบ และคนเล็ก ชื่อ “น้องเพื่อน” พิมพ์สภา อายุเพิ่งขวบกว่า ชื่อ “เพื่อน” นี้ “น้องพลอย” เป็นคนตั้งเอง “อลงกรณ์ พลบุตร” ส.ส.เพชรบุรี กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่โด่งดังจากการตรวจสอบปุ๋ยอินทรีย์ปลอม เริ่มต้น การสนทนากับทีมงาน “บิสิเนสไทย”

“อลงกรณ์” แต่งงานอย่างฮือฮากับนักการเมืองสาวสวยต่างพรรค “คมคาย เฟื่องประยูร” ส.ส.ชาติพัฒนา ลูกสาวนักการเมืองดังเมืองจันทร์บุรี “สนิท เฟื่องประยูร” เมื่อปี 2538 ท่ามกลางความอิจฉาของ บรรดา ส.ส.หนุ่มหลายคน

“การมีภรรยา เป็น ส.ส. ถือว่า เป็นความโชคดี เพราะทำให้เข้าใจกันดี ถึงชีวิตของนักการเมือง ที่มีเวลาให้กับครอบครัวไม่มากนัก” อลงกรณ์ กล่าว

เขาบอกว่า เวลาที่มีอยู่น้อยนิด พยายามอยู่ใกล้ชิดกับลูกให้มากที่สุด ตารางเวลาของเรา 2 คน จะเหมือนกัน วันอังคาร มีประชุมพรรค วันพุธ พฤหัสบดี ประชุมสภาผู้แทนฯ วันศุกร์ ต้องแยกย้ายกันลงพื้นที่ เมืองจันท์กับเพชรบุรี ลูก 3 คน ก็สลับกันรับผิดชอบ ตอนมี 2 คน “น้องพลอย” กับ “น้องเพชร” ก็จะแบ่งกันคนละสัปดาห์เมื่อมี 3 คน ก็จะไปด้วยกันทั้ง 3 แต่จะสลับไปเมืองจันท์ กับเมืองเพชร คนละสัปดาห์

“อลงกรณ์” บอกว่า เขา และภรรยา จะดูแลลูกทั้ง 3 คน ด้วยตัวเอง ตั้งแต่คลอด เพื่อให้พ่อ แม่ ลูก ได้ใกล้ชิดกัน เพราะรู้ดีว่า เวลาที่ 2 คน จะมีให้ลูกจะมีน้อย เมื่อมีโอกาสก็จะให้เวลากับลูกมากที่สุด วันจันทร์ตอนเย็น หลังจากลูกกลับจากโรงเรียน จะเป็นวันเดียวที่ทั้ง 5 คน มีโอกาสอยู่พร้อมหน้ากัน ก็อาจจะพาลูกไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง แล้วแต่โอกาส อาจจะทำกิจกรรมร่วมกัน สอนการบ้านให้ลูก

“เวลาไปไหน ไม่ว่า ต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ ก็จะต้องรีบกลับ อย่างไปอังกฤษ ไปพูดเรื่อง เอธานอล ผมจะไปถึงที่โน้นตอนสาย บ่ายขึ้นพูด พูดเสร็จก็ขึ้นเครื่องกลับทันที”อลงกรณ์ กล่าว

ส.ส.เพชรบุรี บอกว่า การเลี้ยงลูก จะ ผสมผสานกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ตะวันออก ก็คือ จะดูแลเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิด ส่วนแบบตะวันตก ก็พยายามสอนให้ ลูกรู้จักพึ่งตนเอง รู้จักคิดเอง และจะเน้นให้เรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ให้ใช้คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ยังเด็ก เพราะคนในยุคนี้ ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เป็นหลัก รวมทั้ง จะให้เรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นพิเศษ เพื่อที่เขาจะได้รับรู้โลกกว้างได้ดี

“ผมไม่ได้วางเป้าหมายให้ลูกว่า จะต้องมาเป็นนักการเมือง ขึ้นอยู่กับลูกที่จะตัดสินใจเอง เมื่อเขาโตขึ้น”อลงกรณ์ กล่าว

เขาบอกว่า ตอนนี้ ลูกได้เรียนรู้ทางการเมืองได้พอสมควร เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปกับพ่อ แม่ เจอกับชาวบ้าน ไปช่วยแจกของให้ชาวบ้าน เวลามีประชุม หรือสัมมนาพรรค ก็พาไปด้วย ตอนนี้เขาก็รู้จักนักการเมืองเยอะแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อโตขึ้น เขาจะเลือกการเมือง หรือบางทีอาจจะไม่ชอบการเมืองไปเลยก็ได้” พ่อลูกสาม กล่าวถึงอนาคตของลูก

2.3.53

การศึกษาของอลงกรณ์ พลบุตร

ประวัติการศึกษาของคุณ อลงกรณ์ พลบุตร

จบ ม.ศ.5 จากโรงเรียนอรุณประดิษฐ จ.เพชรบุรี

ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประกาศนียบัตรผู้นำนักศึกษานานาชาติ กรุงมนิลา ฟิลิปปินส์ / ฮ่องกง

ประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านสื่อมวลชน สหรัฐอเมริกา

ประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านสื่อมวลชน ญี่ปุ่น

ประกาศนียบัตรพัฒนาผู้นำแรงงานของสหพันธ์แรงงานระหว่างประเทศมาเลเซีย

ประกาศนียบัตรพัฒนาผู้นำการเมือง โปรตุเกส กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก

ประกาศนียบัตรพัฒนาผู้นำแรงงานของสหพันธ์แรงงานระหว่างประเทศมาเลเซีย

ประกาศนียบัตรพัฒนาผู้นำการเมือง โปรตุเกส กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก

ประวัติทางการเมืองอลงกรณ์ พลบุตร

ประวัติทางการเมืองของอลงกรณ์ พลบุตร

การทำรัฐประหารของคณะ รสช. ในปี พ.ศ. 2534 เป็นจุดพลิกผันให้นายอลงกรณ์ตัดสินใจลงเล่นการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรครั้งแรกแต่สอบตกได้คะแนน 4 หมื่นคะแนน

ในการลงสมัคร ส.ส. ครั้งที่ 2 นายอลงกรณ์ประสบความสำเร็จได้เป็น ส.ส.สมัยแรก ด้วยคะแนนเสียงกว่า ๗๔,๐๐๐ คะแนน ในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2535/2 และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งปี พ.ศ. 2538 ด้วยคะแนนกว่า ๑ แสนคะแนนเป็นที่หนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี

ต่อมาในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2539 นายอลงกรณ์สอบตกอีกครั้งแบบไม่คาดฝันแม้จะได้คะแนนกว่า ๙ หมื่นคะแนน และในระหว่างนั้นนายชวน หลีกภัย ได้ให้นายอลงกรณ์ ดำรงตำแหน่ง เลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และเลขานุการนายกรัฐมนตรี

ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอลงกรณ์มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลหลายอย่าง เช่น การตรวจสอบการทุจริตในโครงการเช่าซอฟต์แวร์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ การทุจริตในสนามบินหนองงูเห่า เป็นต้น จนได้รับการคัดเลือกจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้เป็น"ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา ประจำปี ๒๕๔๖" พร้อมกับได้รับฉายา "มือปราบรัฐสภา" แต่นายอลงกรณ์ก็ต้องเผชิญกับการถูกฟ้องและถูกแจ้งจับกว่า ๒๐ คดีข้อหาหมิ่นประมาทจากคดีที่เขาเข้าไปตรวจสอบการทุจริตและโดนฟ้องทางแพ่งเกือบหมื่นล้านบาท

ปัจจุบัน เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลปัจจุบัน

อลงกรณ์ พลบุตร

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เกิดวันที่ 27 ธันวาคม 2499 ที่จังหวัดเพชรบุรี
มีชื่อเล่นว่า " จ้อน " เป็นบุตรของ นายเพิ่มพล พลบุตร
อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบุรี


นายอลงกรณ์ สมรสกับนางคมคาย พลบุตร (นามสกุลเดิม "เฟื่องประยูร" อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคชาติพัฒนา บุตรีของ “สนิท เฟื่องประยูร” นักการเมืองดังแห่ง จังหวัดจันทบุรี) เมื่อปี
พ.ศ. 2538 กล่าวกันว่า นายอลงกรณ์ ได้รับความอิจฉาจากนักการเมืองหนุ่มจำนวนมากในขณะนั้น เนื่องจาก ส.ส.คมคาย เฟื่องประยูร ผู้เป็นเจ้าสาว เป็น ส.ส.หญิงที่อายุน้อยที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการหมายปองจาก ส.ส.หนุ่มโดยทั่วไป

นายอลงกรณ์ มีบุตร-ธิดารวม 3 คน คนโตชื่อ “น้องพลอย” สภาวรรณ พลบุตร คนรองชื่อ “น้องเพชร” ธัชธรรม พลบุตร และคนเล็ก ชื่อ “น้องเพื่อน” พิมพ์สภา พลบุตร

นายอลงกรณ์ เป็นนักการเมืองที่มีฐานเสียงในจังหวัดเพชรบุรี โดยมีพี่น้องทำงานการเมืองท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เช่น นายอติพล พลบุตร ผู้เป็นพี่ชาย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรี เพชรบุรี และ นายอิทธิพงษ์ พลบุตร ผู้เป็นน้องชาย ที่เป็นอดีตสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรี สายปกครอง มี นายอดุลย์ พลบุตร พี่ชาย เป็นนายอำเภออยู่ที่จังหวัด ยโสธร และ หลานชาย นายปานบุญ พลบุตร กำลังศึกษาในคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


นายอลงกรณ์ พลบุตรได้รับฉายาว่า"มิสเตอร์เอทานอล"จากการเป็นผู้ผลักดันให้โครงการเอทานอลเกิดขึ้นในประเทศไทยโดยผ่านความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีชวน ๒ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๓ และยังส่งเสริม"เอทานอล"อย่างต่อเนื่องในฐานะประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทดแทนเอทานอล-ไบโอดีเซลแห่งประเทศไทย๘ ล้านลิตรต่อวันทั่วทั้งประเทศ ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและนายอลงกรณ์ยังได้รับเชิญไปบรรยายในที่ประชุมนานาชาติทั่วโลก นายอลงกรณ์ ยังเป็นผู้รับผิดชอบ โครงการยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Strategy Project , TSP) ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลทางวิชาการใน 19 ยุทธศาสตร์หลัก เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล ในการพัฒนานโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ และจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะกับชุมชนวิชาการ และประชาชนที่สนใจทั่วไป และเอกสารเผยแพร่ของโครงการ


ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ.2550 นายอลงกรณ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.เพชรบุรี เขต 1 ในนามพรรคประชาธิปัตย์

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้ง ครม.เงา ขึ้นเป็นครั้งแรก นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ให้ทำหน้าที่ รองนายกรัฐมนตรีเงา ดูแลตรวจสอบ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน และต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลปัจจุบัน

.
.
ที่มาวิกีพีเดีย